Patil, R. (2020) ได้กล่าวว่าความท้าทายหนึ่งของการทำงานระยะไกลนั่นก็คือการรักษาประสิทธิภาพการทำงาน จากการแพร่ระบาดของโควิท บางองค์กรจำเป็นต้องนำการทำงานระยะไกลมาใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในระยะยาวอาจจะส่งผลกระทบต่อพนักงาน การทำงานอาจจะมีความยุ่งยากมากขึ้น หรืออาจะส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพเนื่องจากการไม่ได้พบปะผู้คนหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น นอกจากนี้ Tech, E. (2020) ได้กล่าวเสริมว่า จากการสำรวจของ บริษัทด้านการวิเคราะห์ Discover Dollar ในเมืองบังกาลอร์ อินเดีย ประสิทธิผลการทำงานลดลง เนื่องจากเมื่อเกิดความผิดพลาดหรืองานไม่เป็นไปตามแบบแผน การทำงานระยะไกลจะขาดการการระดมความคิดในการทำงานที่ต่างจากการแก้ไขปัญหาร่วมกันแบบพบปะพูดคุย อันเป็นผลมาจากด้านการจัดการและเวลา Patil, R. กล่าวต่อว่า พนักงานบางรายไม่สามารถปรับตัวได้ในโครงสร้างการทำงานระยะไกลยังจัดการปัญหาด้านการทำงานการได้ใช้ชีวิตส่วนตัวได้ ทำให้ส่งผลต่อการสูญเสียประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้นำองค์กรต้องมีแนวทางที่ชัดเจน ส่งเสริม และความมุ่งมั่นที่จะทำให้การทำงานระยะไกลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
ผลกระทบของความท้าทายต่อธุรกิจปกติและการปฏิบัติของผู้คน
(Patil, 2020) ผลกระทบที่สำคัญของการทำงานระยะไกลคือ เครื่องมือที่ใช้ติดตั้งในการทำงานระยะไกลเพื่อยืนยันตัวตนการทำงานและเชื่อมโยงเข้ากับทีมทำงานของพนักงาน การรวบรวมข้อมูล การตรวจสอบสุขภาพของพนักงานผ่านการสำรวจรายวัน การแจ้งข่าวสารประจำวันเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิท-19 ให้พนักงานทุกคนรับทราบจากทีมผู้ผู้บริหารระดับสูง นอกจากนี้ Jain (2020) กล่าวว่าผลกระทบอีกประการหนึ่งของการทำงานระยะไกลนั่นคือ การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง ครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์สังคม ซึ่งสาเหตุหลักมาจาก "ความกลัวและความเหนื่อยหน่ายระหว่างการแพร่ระบาด" กว่า 27% กล่าวว่า “ชีวิตส่วนตัว” กับ “การทำงาน” ไม่สามารถแยกกันได้ และมากกว่า 20.5% งานที่ไม่สามารถจัดการสองสิ่งนี้ได้ดีและส่งผลกระทบต่อทั้งสองอย่าง ความวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การงานประมาณ 19% อีกทั้งความเหนื่อยหน่ายและความหมดไฟในการทำงานยังเพิ่มขึ้นกว่า 12% ด้วย นอกจากนี้การทำงานจากระยะไกลในช่วงการระบาดของโควิท-19 ปัญหาทางด้านสุขภาพก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยบางคนมีความวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิเป็นต้น สุขภาพจิตของพนักงานกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเตรียมตัวรับมือ เนื่องจากพนักงานถูกบังคับให้กักกั้นบริเวณ หรือห่างจากครอบครัวและคนที่เป็นที่รัก นอกจากนี้ยังเห็นว่าพนักงานเกือบ 57% กำลังประสบกับความรู้สึกหวาดหวั่น ความเหงาที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการทำงานระยะไกล และการห่างเหินทางสังคม ก่อนหน้านี้ในช่วงเริ่มแรกการทำงานจากที่บ้าน ถูกมองว่าเป็นความยืดหยุ่นที่องค์กรมีให้กับพนักงาน แต่เมื่อพนักงานบางคนต้องถูกบังคับให้ทำงานจากระยะไกล สุขภาพจิตและประสิทธิผลของพวกเขา กลับได้รับผลกระทบอย่างมาก ดังนั้นนายจ้างหรือผู้บริหารระดับสูงจะต้องตระหนักถึงสิ่งนี้เพื่อยกระดับความเป็นมืออาชีพในการบริหาร (Kim 2020).
การปฏิบัติด้านกระบวนการของทีมทรัพยากรบุคคล
ภายหลังการระบาดของโควิด-19 และหลายองค์กรประกาศให้พนักงานสามารถทำงานระยะไกลได้ ซึ่งส่งผลต่อบทบาทของฝ่ายทรัพยากรบุคคลในชั่วข้ามคืน โดยบริษัทต่างๆ ได้มีการทบทวนกระบวนการเกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลของตน จากการสำรวจพบว่าหลายองค์กรได้เปลี่ยนไปใช้การสรรหาสิ่งเสมือน และใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ระบบอัตโนมัติของหุ่นยนต์การผลิต และเรียนรู้ของเครื่องอัตโนมัติ (Machine Learning) และนี่อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับฝ่ายทรัพยากรบุคคลในการก้าวเข้าสู่บทบาทของพันธมิตรทางธุรกิจ รวมไปถึงการมุ่งเน้นไปที่ระยะยาว ในขณะที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อให้เป็นไปตามความคาดหวังและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ความจำเป็นของชั่วโมงนี้นั่นก็คือการทบทวนลำดับความสำคัญของพวกเขาใหม่ สร้างกลยุทธ์ในการจัดการพนักงานจากระยะไกล ปรับเปลี่ยนฟังก์ชันทรัพยากรบุคคลให้เป็นดิจิทัล การมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลเฝ้าดูการเข้าสู่ระบบการทำงานของพนักงานเพื่อจำนวนชั่วโมง และการอัปเดตการทำงานบ่อยๆ จะทำให้พนักงานต้องจดจ่ออยู่กับกิจกรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความเครียดสะสม ความกลัวที่จะสูญเสียงาน การจัดการด้านความรู้และนวัตกรรม รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ การลดค่าจ้างได้เพิ่มความเครียดในระดับสูงของพนักงาน บทบาทของผู้นำจำเป็นต้องให้คำปรึกษาที่มีส่วนร่วม สนับสนุนทีมทำงาน พร้อมสร้างความเข้าใจและมีการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้เราสามารถยกระดับทักษะการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สถาบันต่างๆ เพื่อให้ได้ใบรับรองที่จำเป็นและเพื่อเป็นการยกระดับทักษะต่างๆ ของพนักงานควบคู่ไปด้วยได้ รูปแบบและมุมมองของธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปจากเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การทำงานจะปรับเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบการทำงานระยะไกลอย่างรวดเร็ว ดังนั้นทัศนคติของพนักงานต่อการเรียนรู้รูปในรูปแบบการทำงานแบบใหม่นี้ยังคงเป็นสิ่งที่น่ากังวล
ความสามารถในการทำงานของพนักงานไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นในพื้นที่สำนักงานเท่านั้น แต่มันยังสามารถมาจากที่ใดก็ได้ ในช่วงเวลาที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและเตรียมความพร้อมที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เพื่อพิสูจน์คุณค่าของพวกเขาที่มีต่อองค์กร ทำให้องค์กรบรรลุตามเป้าหมาย เหล่านี้พนักงานจำเป็นต้องมีทัศนคติต่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และสามารถปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ มิฉะนั้นตัวพนักงานเองอาจจะถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี
ความมั่นคงในหน้าที่การงานและความมั่นคงทางการเงิน จะส่งผลต่อสุขภาพจิตที่ดีต่อพนักงาน
การอยู่รวมกันเป็นสังคมจะช่วยเพิ่มสุขภาพจิต ความเป็นอยู่ที่ดี และมีอายุยืนยาว มีการศึกษาหนึ่งเปิดเผยว่าการขาดการเชื่อมต่อทางสังคม ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า โรคอ้วนการสูบบุหรี่ และความดันโลหิตสูง ในอีกทางหนึ่งคือการมีการเชื่อมต่อทางสังคมที่แน่นแฟ้นจะทำให้มีโอกาสอายุยืนเพิ่มขึ้น 50% คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นมากขึ้นจะมีอัตราความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าลดลง ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความภาคภูมิใจในตนเองสูง มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น ไว้วางใจและให้ความร่วมมือมากขึ้น ทำให้คนอื่นๆ รอบข้างเปิดใจที่ ไว้วางใจและร่วมมือกับพวกเขาเหล่านี้มากขึ้น ความเชื่อมโยงทางสังคมจึงก่อให้เกิดวงจรตอบรับเชิงบวกของความเป็นอยู่ที่ดีทางสังคมอารมณ์ และร่างกาย การขาดการเชื่อมโยงทางสังคมจะส่งผลต่อเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงแนวโน้มที่สูงขึ้นต่อพฤติกรรมต่อต้านสังคมที่นำไปสู่การแยกตัวหรือการเพิ่มความขัดแย้งขึ้นไปอีก การทำงานแบบระยะไกลหรือขาดการเชื่อมต่อทางสังคม เสี่ยงต่อความวิตกกังวลที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า หรือพฤติกรรมต่อต้านสังคม ไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมการคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งการสำรวจที่สำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่าการขาดความเชื่อมโยงทางสังคมมีแนวโน้มที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค และการเสียชีวิตนอกเหนือจากปัจจัยเสี่ยงแบบเดิมๆ เช่นการสูบบุหรี่ความดันโลหิตและการออกกำลังกายอีกด้วย
ในปัจจุบันของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การทำงานจากระยะไกลกลายเป็นความปรกติใหม่ และการมีปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพแบบเดิมก็กำลังจะลดลงไป ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำเข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของบุคคลภายในองค์กร เราต่างรู้ดีว่าการสนทนาพูดคุยแบบพบปะ รวมถึงการเข้าสังคมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผล ผู้คนมีความแตกต่างกันในความต้องการเข้าสังคมในที่ทำงาน ในวัฒนธรรมแบบกลุ่ม เช่นในประเทศอินเดียการทำงานร่วมกัน ความสนิทสนมกันในที่ทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีค่ามาก การไปสำนักงานไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จ แต่ยังรวมไปถึงการประชุมการเข้าสังคม และการสร้างเครือข่ายอีกด้วย ในช่วงเวลาอาหารกลางวัน ชาวอินเดียที่มีไปทำงานที่สำนักงานทั้งในประเทศอินเดีย และต่างประเทศต่างตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้นั่งรับประทานอาหารร่วมกันในช่วงพักกลางวัน
แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันระดับการมีปฏสัมพันธ์ในองค์กรจะลดลงอย่างมาก แม้ว่าจะมีการติดต่อสื่อสารในกันโลกเสมือนก็ตาม แต่การสื่อสารในรูปแบบนี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน โดยที่ทำให้ผู้คนคิดลบฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา เกี่ยวกับสถานการณ์และความชัดเจนในหน้าที่การงาน ไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับผู้อื่น ขาดการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ไว้วางใจกันและกัน และไม่ค่อยเต็มใจที่จะรับฟังแนวคิดใหม่ๆ
วุฒิกร ยุพาวัฒนะ. (2562). การเข้าใจความรู้สึกของพนักงานในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเพิ่มผลิตภาพที่มีประสิทธิผลสูงสุดขององค์กร (Understanding employees’ s insight to reach work efficiency for increasing effective productivity). วารสารบริหารธุรกิจและสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2(1), 17-34. Aamodt, G. M. (2013). Applying psychology to work. (7th ed.). Boston: Wadsworth Cengage Learning Maslow, A. H. (1987). Motivation and personality. (3rd ed.). New York: Harper & Row